เรื่องจริงครับ และหลักการที่คนตาบอดสามารถมองเห็นได้ คือการใช้เสียงสะท้อน หรือ echolocation ซึ่งเป็นวิธีการที่ค้างคาวใช้ในการบินและไล่จับแมลงตัวเล็กๆ ที่อยู่ไกลถึง ๑๐ เมตร หรือปลาโลมาใช้ในการ “มอง” หาวัตถุที่อยู่ในทะเลไกลถึง ๑ กิโลเมตร ซึ่งมนุษย์นำมาถอดแบบเพื่อสร้างเป็นระบบโซนาร์ (Sound Navigation and Ranging – SONAR) เพื่อใช้นำทางเรือดำน้ำในทะเลลึกซึ่งมืดสนิท แต่เรื่องที่ผมจะเล่านี้ เป็นการทำงานของหูคนและสมอง โดยไม่มีเครื่องมือใดๆเข้ามาเพิ่มเติม
เมื่อปี 2550 ได้มีรายงานข่าวจากโทรทัศน์ ABC News ในสหรัฐอเมริกา ว่าพบเด็กตาบอด ชื่อ เบ็น อันเดอร์วูด อายุ ๑๔ ปี เดินไปไหนมาไหนได้เหมือนคนธรรมดา ไม่ใช้ไม้เท้า ไม่ใช่สุนัข และยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถขี่จักรยาน เล่นสเก้ทบอร์ดได้โดยไม่ชนใครเลย รวมทั่งสามารถชู๊ตบาสเก็ตบอลเข้าห่วงได้สบายๆ เขาทำได้อย่างไร
เบ็นถือกำเนิดมาเหมือนคนทั่วไป มองเห็นได้ปกติจนกระทั่งอายุ ๒ ขวบ คุณแม่พบว่ามีเนื้องอกในตา ซึ่งทำให้ตาข้างหนึ่งขุ่นมัวจนมองไม่เห็นในช่วงเวลาเพียงสองเดือน แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งที่ตา ที่เรียกว่า เร็ตติโน-บลาสโทมา (retinoblastoma) ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด (chemotherapy) จึงจะชะลอการขยายตัว คุณแม่ของเบ็นก็เริ่มให้บำรุงรักษา เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ เดือน อาการก็ไม่ดีขึ้น แพทย์จึงเสนอทางเลือกว่า ความเสี่ยงของเคมีบำบัด คือ นอกจากเบ็นจะต้องทนกับความอ่อนแอของร่างกายเพราะการใช้เคมีบำบัดแล้ว ยังเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคไปยังส่วนต่างไของร่างกายด้วย ซึ่งหากแพร่ออกไปแล้่ว จะทำให้เสียชีวิตได้ หากยอมผ่าตัด เอาดวงตาทั้งสองข่้างออกไป เพื่อยุติการใช้เคมีบำบัด เบ็นก็จะเป็นเด็กที่แข็งแรงต่อไปได้ แต่จะมองไม่เห็๋นไปตลอดชีวิต คุณแม่ของเบ็นตกลงให้ผ่าตัด
ในหลังการผ่าตัด เบ็นตกใจมากที่มองไม่เห็นอะไรอีก แต่คุณแม่ก็ได้ปลอบโยนว่า ลูกสามารถได้ยินเสียง ได้กลิ่น และใช้มือสัมผัสสิ่งต่างๆได้ ขอให้มองโลกด้วยประสาทสัมผัสอื่น และใช้ชีวิตแบบธรรมดา
เชิญชมวิดีโอเล่าเรื่องของเบ็น พบกับคุณแม่ของเบ็น ผู้ให้กำลังใจและสร้างจินตนากรจนเบ็นสามารถ “มองเห็น” ภาพต่างๆรอบตัว ได้ด้วยการได้ยิน ซึ่งในโอกาสต่อมา ได้พัฒนากลายเป็นระบบ echolocation ที่ทรงประสิทธิภาพ เท่ากับเรด้าร์ของเครื่องบินที่บินได้ในที่มืด หรือเรือดำน้า โดยไม่ต้องมีเครื่องมืออะไรเสริม
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนที่ ๑
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนที่ ๒
นักวิทยาศาสตร์ ทดสอบระดับความสามารถของการสร้างภาพด้วยการฟังเสียงสะท้อนของเบ็น
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนที่ ๓
เบ็นย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน เขาไม่อยากใช้ชีวิตในโรงเรียนเด็กตาบอด เขาถือว่าตัวเองไม่พิการ และรังเกียจการใช้ไม้เท้่าสีขาวในการเดิน และพร้อมที่จะเรียนกับเด็กธรรมดา ไปไหนมาไหนโดยอิสระ เล่นเกม เล่นกิฬาได้ตามปกติ แต่ก็ยังขาดการเรียนรู้อีกหลายอย่าง เช่น การสร้างภาพแผนที่ในสมอง เพื่อป้องกันไม่ให้หลงทาง
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนที่ ๔
พบกับแดนคิช (Dan Kish) มีความสามารถด้าน echolocation ไม่น้อยกว่าเบ็น แต่ใช้ไม้เท้า เพื่อความสมบูรณ์ของการเคลื่อนที่โดยไม่หลงทาง ผู้นำองค์กร World Access for the Blind และครูสอนคนตาบอด เบ็นจะเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากแดนได้หรือไม่?
แดนคิช กำลังสอนเด็กตาบอดเพื่อหัดฟังเสียงสะท้อน
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนที่ ๕
เบ็นค้่นพบว่า คนตาบอด สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมที่ช่วยเหลือกัน รวมทั้งพบจุดอ่อนของระบบ echolocation ของตนเองจากแดนคิช ซึ่งหากละเลยการใช้ไม้เท้าให้เป็นประโยชน์ อาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่ร้ายแรีงได้
เด็กมหัศจรรย์ – มองเห็นโลกรอบตัวได้ด้วยเสียง ตอนจบ
เบ็น เสียชีวิตแล้ว อายุเพียง ๑๖ ปี เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๒ ด้วยโรคมะเร็งที่เคยต้องทำให้เขาผ่าตัดตาตอนอายุสามขวบ
ขอให้เบ็นไปสู่สุขคติ
Echolocation – การมองเห็นด้วยเสียงสะท้อน
ทวีศักดิ์ กออนันตกูล
๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔
เบ็นสามารถมองเห็นโดยการทำเสียง “คลิ๊ก” ด้วยปาก (ประมาณสองครั้งต่อวินาที) ทุกครั้งที่เขาคลิ๊ก เขาจะตั้งใจฟังด้วยหูทั้งสองข้าง เพื่อรับเสียงสะท้อนที่มาจากวัตถุขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงทิศทางที่ของหันหน้าไปหา สมองของเบ็น จะสามารถตีความเสียงสะท้อน (อันแผ่วเบา) ที่เขาได้ยิน เพื่อตีความถึงขนาดและระยะทางของสิ่งที่สะท้อนเสียง วัตถุใดที่มีขนาดใหญ่ และแข็ง ก็จะสะท้อนเสียงได้มาก ส่วนระยะทาง จะประมาณจากระยะเวลาที่เสียงสะท้อนกลับมา เสียงมีความเร็วประมาณวินาทีละ 342 เมตร (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความกดดันของอากาศด้วย) หูของเบ็น มีความสามารถในการประมาณระยะทางจากเวลาที่สะท้่อน บ่อนครั้งที่เบ็นต้องคลิ๊กสองสามครั้งและหันหน้าไปทางซ้าย ทางขวา เพื่อสร้างภาพด้านหน้าเขาที่สมบูรณ์ และเมื่อใดก็ตามทีี่เขาหยุดคลิ๊ก เขาอาจจะชนวัตถุต่างๆที่เงียบ คนตาบอดมักจะไวต่อแหล่งกำเนิดเสียงมากกว่าคนตาดี หากมีรถยนต์วิ่งมา หรือมีเสียงคนพูด ก็จะทราบ หรือหันหน้าไปถูกทางได้ดีเท่าคนปกติ
ภาพข้างล่างนี้้ แสดงวิธีที่ปลาโลมามองไปข้างหน้าด้วยเสียง แต่ปลาโลมาจะคลิ๊กประมาณ ๖๐๐ ครั้งต่อวินาที โดยความสามารถด้าน echolocation ของโลมาและวาฬ มีมากว่า ๓๐ ล้านปีแล้ว จนถือได้ว่าเป็นวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบพอๆกับค้างคาว
คนตาบอดที่สามารถใช้ echolocation ที่เป็นที่รู้จักกันดีมีดัีงต่อไปนี้ (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
๑. เจมส์ โฮลแมน – (พ.ศ.๒๓๓๒-๒๔๐๐) มีชื่อเสียงว่าเป็น นักท่องเที่ยวตาบอด ซึ่งใช้เสียงเคาะไม้เท้าเพื่อการเดินทางทั่วโลก ถือว่าเป็นบุคคลแรกที่มีการบันทึกว่า สามารถใช้เสียงในการมองด้วย echolocation
๒. แดน คิช – สูญเสียดวงตาเมื่ออายุเพียง ๑๓ เดือน เนื่องจากเป็นมะเร็งที่จอรับภาพ (retinal cancer) จำเป็นต้องผ่าตัดดวงตาออก เขาพัฒนาเครื่องมือส่งเสียงคลิ๊ก และใช้หูฟังเสียงสะท้อนจนสามารถเดินป่าและปีนเขาได้อย่างปลอดภัย เขานำกลุ่มคนตาบอดและสอนคนหนุ่มสาวที่ตาบอดในการเดินทางด้วยไม้เท้าสีขาวและการฟังเสียงสะท้อนผ่านทางองค์การที่ไม่แสวงหากำไร ชื่อ World Access for The Blind.
๓. เบ็น อันเดอร์วูด – จากเมืองมินเนสโซตา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สูญเสียดวงตาทั้งสองข้างเมื่ออายุ ๓ ขวบเนื่องจากการผ่าตัด และเสียชีวิตเมื่ออายุ ๑๖ ปี รายละเอียดตามที่ปรากฏในบทความนี้
๔. ทอม ดีวิต – ชาวเบลเยี่ยม เกิดเมื่อปี ๒๕๒๒ มีต้อหินทั้งสองตาตั้งแต่กำเนิด ทำให้สายตาเลือนราง สามารถเล่นดนตรี (ฟลู๊ต) ได้ แต่ก็ต้องเลิกเล่นในปี ๒๕๔๘ และตาบอดสนิททั้งสองข้างในปี ๒๕๕๒ ได้เรียนรู้เทคนิค การมองด้่วยเสียงสะท้อนจากแดนคิช และได้รับสมญาจากนักข่าวว่าเป็น แบทแมนแห่งเบลเยี่ยม
๕. ดร.ลอเรนซ์ สแคดเดน – สูญเสียดวงตาเนื่องจากอุบัติเหตุเมื่ออายุ ๕ ขวบ แต่สามารถเข้าเรียนหนังสือตามปกติจนสำเร็จปริญญาเอก เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวางนโยบาย และผู้เขียนหนังสือ My Life without Sight ซึ่งเล่าว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการทำให้มีชีวิตอิสระทั้งๆที่ตาบอด และประสบความสำเร็จเกินความคาดหวังของตนเอง ดร.สแคดเดนสามารถขี่จักรยานได้โดยไม่ชนใครเนื่องจากใช้วิธีฟังเสียงรอบตัว (facial vision) และจะส่งเสียงคลิ๊กเฉพาะในโอกาสที่จำเป็น เพื่อให้มองเห็นภาพรอบตัวได้หรือในกรณีที่มีการแจ้งเตือน ดร.สแคดเดน ได้รับรางวัลครูสอนคนพิการยอดเยี่ยมจากหน่วยงาน National Science Teachers Association (NSTA) ของสหรัฐอเมริกา
๖. ลูกัส เมอร์เรย์ – จากเมืองพูล แคว้นดอร์เส็ต ประเทศอังกฤษ ตาบอดแต่กำเนิด ถือว่เป็นคนอังกฤษคนแรกที่สามารถใช้เทคนิค echolocation ที่สอนโดยแดนคิช
๗. เควิน วอร์ริค – เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองระบบ echolocation ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยการฝังขั้วไฟฟ้าเพื่อส่งสัญญาณเข้าเส้นประสาท โดยการส่งคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่าที่คนได้ยิน (อัลตราโซนิก) และรับเสียงสะท้อนเข้ามายังประสาท ทำให้สามารถตรวจจับสิ่งของที่มีขนาดเล็กกว่าการทำเสียงคลิ๊กด้วยปาก